17 Aug 2025

คนที่สามของไทย ‘จุฑาธิป’จบหลักสูตรโค้ชระดับสูงของยูซีไอ

rb31032505

จุฑาธิป มณีพันธุ์ สำเร็จการศึกษาหลักสูตรผู้ฝึกสอนจักรยานระดับสูง (Level 3) ของสหพันธ์จักรยานนานาชาติ (UCI) เป็นคนที่ 3 ของประเทศไทย ต่อจาก “โค้ชตั้ม” วิสุทธิ์ กสิยะพัท และ “โค้ชบาส” ภุชงค์ ซ้ายอุดมศิลป์ สามารถเป็นผู้ฝึกสอนจักรยานได้ในทุกระดับทั่วโลก เจ้าตัวเผยพร้อมนำความรู้ความสามารถไปถ่ายทอดให้กับนักกีฬารุ่นน้องต่อไป เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ  ด้าน พลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานฯ ชี้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาบุคลากรกีฬา ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ที่ได้ดำเนินการพัฒนาบุคลากรในทุก ๆ ด้าน

           “เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรี รองประธานสมาพันธ์จักรยานแห่งเอเชีย (ACC), ประธานสหพันธ์จักรยานแห่งอาเซียน (ACF) และนายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้ส่ง “บีซ” ร.อ.หญิง จุฑาธิป มณีพันธุ์ นักปั่นจักรยานทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 33 เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนจักรยานระดับสูง Level 3 ซึ่งเป็นหลักสูตรระดับสูงสุดของสหพันธ์จักรยานนานาชาติ (UCI) เมื่อวันที่ 1-23 เมษายน ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ฝึกจักรยานโลก (WCC) เมืองเอเกิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมกับ “โค้ชบาส” พ.อ.อ.ภุชงค์ ซ้ายอุดมศิลป์ และ ร.ต.อ.อดิศักดิ์ วรรณศรี ผู้ฝึกสอนกีฬาจักรยานทีมชาติไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง WCC ได้แจ้งผลมาว่า “โค้ชบาส” สอบผ่านหลักสูตรดังกล่าวอย่างครบถ้วนสามารถเป็นผู้ฝึกสอนจักรยานได้ทั่วโลก เป็นคนที่ 2 ต่อจาก “โค้ชตั้ม” วิสุทธิ์ กสิยะพัท ที่สอบผ่านเป็นคนแรกเมื่อปี 2567

พลเอกเดชา เหมกระศรี

           พลเอกเดชา กล่าวว่า ล่าสุดได้รับรายงานจาก ร.อ.หญิง จุฑาธิป ว่าทางศูนย์ฝึกจักรยานโลกแจ้งข่าวดีมายังจุฑาธิปว่าสามารถสอบผ่านหลักสูตรผู้ฝึกสอนจักรยานระดับสูง Level 3 ได้อีก 1 คน พร้อมส่งใบประกาศนียบัตรรับรองการเป็นผู้ฝึกสอนระดับสูงสุดมาให้แก่จุฑาธิปเรียบร้อยแล้ว นับว่าเป็นคนที่ 3 ของประเทศไทยต่อจากโค้ชวิสุทธิ์ และโค้ชภุชงค์ ในอนาคตจุฑาธิปก็น่าจะเป็นกำลังสำคัญอีก 1 คนในการเป็นผู้ฝึกสอนจักรยานทีมชาติไทย โดยนำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาผสมผสานกับประสบการณ์จากการเป็นนักกีฬามาถ่ายทอดให้แก่นักกีฬารุ่นน้อง ๆ ต่อไป ขณะเดียวกันยังเหลือผลการสอบของโค้ชอดิศักดิ์อีก 1 คน ที่อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณางานวิจัยที่ได้ทำส่งไปยังศูนย์ฝึกจักรยานโลก หากโค้ชอดิศักดิ์สอบผ่านอีกคน ประเทศไทยก็จะมีผู้ฝึกสอนจักรยานระดับสูง Level 3 ของ UCI รวมทั้งสิ้น 4 คนด้วยกัน

           “สมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้ดำเนินการพัฒนาบุคลากรในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผู้ฝึกสอน ผู้ตัดสิน ช่างซ่อมจักรยาน ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาบุคลากรกีฬา ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) โดยเริ่มต้นจากการจัดอบรมขั้นพื้นฐาน (Level 1) จากนั้นก็พัฒนาสู่ระดับสูง (Level 2) หรือระดับ Elite ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปสู่ระดับนาชาติ (Level 3) ซึ่งขณะนี้สมาคมกีฬาจักรยานฯ ถือว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนาบุคลากรด้านผู้ฝึกสอน เรามีผู้ฝึกสอนที่สำเร็จการเรียนระดับสูงสุดถึง 3 คน และยังรอผลการสอบโค้ชอดิศักดิ์อีก 1 คน นอกจากนี้สมาคมกีฬาจักรยานฯ ร่วมกับ กกท. จัดโครงการจัดอบรมพัฒนาผู้ตัดสินกีฬาจักรยานอาชีพประเภทถนนระดับนานาชาติ หลักสูตร Elite National Commissaire Course for Road ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างวันที่ 11-15 กันยายนนี้ ซึ่งจะมีผู้ตัดสินเข้ารับการอบรมจำนวน 20 คน” พลเอกเดชา กล่าว

           พลเอกเดชา กล่าวต่อไปว่า การส่งโค้ชไปอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนจักรยานระดับสูง Level 3 ต้องใช้งบประมาณสูงพอสมควร สำหรับโค้ชวิสุทธิ์กับโค้ชภุชงค์นั้นได้ทุนจากโอลิมปิกโซลิดาริตี้ (Olympic Solidarity) ซึ่งเป็นโครงการของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ส่วนจุฑาธิปกับโค้ชอดิศักดิ์ สมาคมกีฬาจักรยานฯ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง คนละประมาณ 210,000 บาท รวมสองคนก็ราว 420,0000 บาท แต่สมาคมกีฬาจักรยานฯ ก็พร้อมที่จะจ่ายเพื่อให้ได้บุคลากรที่ดีและมีคุณภาพ จะได้นำความรู้ความสามารถมาถ่ายทอดให้นักกีฬาต่อไป

           ด้าน จุฑาธิป เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจมากที่สามารถสอบผ่านหลักสูตรผู้ฝึกสอนจักรยานระดับสูง Level 3 เพราะก่อนจะไปอบรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตนมีความเครียดมาก เนื่องจากมีภารกิจแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติ วีเมนส์ ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2025 ซึ่งแข่งขันจบในวันที่ 2 เมษายน แต่การอบรมได้เริ่มขึ้นแล้ว หลังแข่งจบตนก็รีบเดินทางไปในคืนนั้นเลยแต่ก็ยังเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่น ๆ ถึง 2 วัน อีกประการคือตนเองไม่มีประสบการณ์ในการเป็นผู้ฝึกสอนมาก่อน แต่การที่ท่านพลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้ให้โอกาสตนไปเรียนหลักสูตรผู้ฝึกสอนจักรยานระดับ Level 2 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ตามตนก็ยังมีความกังวลในการเรียน Level 3 แต่ก็พยายามบอกกับตัวเองว่าต้องทำที่ละขั้นตอนให้สำเร็จตามเป้าหมาย

           จุฑาธิป กล่าวอีกว่า ปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของภาษา แม้ว่าเราจะพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง แต่วิทยากรที่มาสอนแต่ละคนพูดภาษาอังกฤษแต่ว่าแต่ละคนจะสำเนียงแตกต่างกันไป ทำให้เราต้องพยายามจับใจความให้ได้ ในแต่ละวันตนจะต้องมาทบทวนร่วมกับโค้ชภุชงค์และโค้ชอดิศักดิ์ว่าสิ่งที่เรียนไปนั้นเราเข้าใจถูกต้องหรือไม่ พอถึงวันสอบภาคปฏิบัติก็พยายามทำให้เต็มที่ ซึ่งผลที่ออกมาปรากฏว่าตนเองทำคะแนนได้ดี 9 เต็ม 10 แต่ในการสอบข้อเขียนเป็นการให้คำถามมาแล้วให้เราเขียนอธิบายตามความรู้ความเข้าใจ แล้วห้ามพกอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าห้องสอบ แม้กระทั่งดิกชันนารีแปลภาษาก็ไม่สามารถนำเข้าไปได้ ตนจึงพยายามอ่านคำถามให้ละเอียดทุกข้อแล้วคิดคำตอบเป็นภาษาไทย ก่อนที่จะแปลเป็นภาษาอังกฤษเขียนอธิบายไป

           “ผลการสอบข้อเขียนปรากฏว่าคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ไป 1 คะแนน แต่วิทยากรบอกว่าไม่ต้องกังวลเพราะการจะสอบผ่านหลักสูตรต้องนำคะแนน 3 ส่วนมารวมกัน คือการสอบภาคปฏิบัติ 25% การสอบข้อเขียน 25%  และการทำวิจัย อีก 50% มาทำในช่วงที่กลับมาอยู่เมืองไทย โดยเขาให้เวลา 1 เดือน ซึ่งบีซตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถประกอบกับช่วงเดือนพฤษภาคมบีซอยู่ระหว่างการรักษาอาการบาดเจ็บจึงมีเวลาทุ่มเทให้กับการทำวิจัยอย่างเต็มที่ เมื่อส่งงานได้ตามกำหนดก็รู้สึกโล่งอกมาก จากนั้นช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาวิทยากรได้แจ้งมาว่างานวิจัยของเราต้องมีการแก้ไขอะไรบ้าง บีซก็เอางานกลับมาแก้ไขแล้วส่งกลับคืนไปอีกครั้ง และผลที่ออกมาคือบีซสอบผ่านหลักสูตร ทำให้รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจมากกับความทุ่มเทของตัวเองจนประสบความสำเร็จ” จุฑาธิป กล่าว

           จุฑาธิป กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณพลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานฯ ที่เห็นความสามารถของตนเอง ซึ่งท่านก็ได้วางเป้าหมายว่าหลังจากตนเลิกจากการเป็นนักกีฬาจักรยานแล้วก็จะต้องนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่มาถ่ายทอดให้กับนักกีฬารุ่นน้อง ๆ ต่อไป ตนจะพยายามใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมจากโค้ชท่านต่าง ๆ ทั้งโค้ชวิสุทธิ์ โค้ชภุชงค์ โค้ชอดิศักดิ์ เมื่อถึงวันที่ตนต้องก้าวขึ้นไปเป็นผู้ฝึกสอน ตนก็จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่และทำให้ดีที่สุด เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ และสร้างความภาคภูมิใจให้แก่พี่น้องประชาชนชาวไทย ให้สมดังเจตนารมณ์ของท่านพลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานฯ ที่ท่านได้ทุ่มเทให้แก่วงการกีฬาจักรยานมาตลอดชีวิต